B-SLIM Model
B-SLIM Model
เป็นรูปแบบหนึ่งของการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองเพื่อมุ่งเน้นการสื่อสารโดยอาศัยหลักการและแนวคิดทฤษฎีพัฒนาการเชาวน์ปัญญาของพีอาเจต์
(Piaget) ทฤษฎีพัฒนาการเชาวน์ปัญญาของวิก็อทสกี้
(Vygotsky) และทฤษฎีการเรียนรู้โดยการค้นพบของ บรูนเนอร์ (Discovery
Aproach) ซึ่ง Olenka Bilash เป็นผู้ออกแบบวิธีการสอน (B-Slim
Overview)
แนวคิดเกี่ยวกับการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร
(Communicative
Language Teaching) จุดมุ่งหมายของวิธีสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารมุ่งให้ผู้เรียนใช้ภาษาที่เรียนในการสื่อสารทำความเข้าใจระหว่างกัน
และคนส่วนใหญ่มีความเชื่อว่า ถ้าผู้เรียนมีความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างทางภาษาและคำศัพท์แล้วจะสามารถใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารได้
แต่ข้อเท็จจริงแล้วพบว่าถึงแม้ผู้เรียนจะเรียนรู้โครงสร้างของภาษาต่างประเทศมาแล้วเป็นอย่างดีก็ยังไม่สามารถพูดคุยหรือสื่อสารกับชาวต่างประเทศ หรือจะใช้ได้บ้างก็จะใช้ภาษาในลักษณะที่เจ้าของภาษาไม่ใช้กัน แม้จะเป็นภาษาที่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ ด้วยเหตุนี้ นักภาษาศาสตร์และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศจึงได้พัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับการสอนภาษาต่างประเทศเพื่อการสื่อสารขึ้น
สุมิตรา อังวัฒนกุล
(2540 :
17–21) กล่าวถึงการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารว่าการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารเป็นแนวคิดที่เกิดจากความตระหนักถึงความจริงที่ว่าความรู้
ความสามารถทางด้านศัพท์ ไวยากรณ์ และโครงสร้างทางภาษาเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถช่วยให้ผู้เรียนใช้ภาษาที่เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมในการสื่อสารกับผู้อื่น
การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร เป็นการใช้ภาษาระหว่างผู้รับสารและผู้ส่งสาร ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับว่าวิธีสอนที่ทำให้ผู้เรียนสามารถนำภาษาไปใช้ในการสื่อสารได้จริง (Actual Communication) ได้แก่ วิธีการสอนตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร (The Communicative
Approach) เนื่องจากจุดมุ่งหมายหลักของวิธีการสอนดังกล่าวเน้นความสามารถในการสื่อสาร (Communicative Competence) ของผู้เรียน
ขั้นตอนการสอนแบบ B-SLIM
ธูปทอง กว้างสวาสดิ์ (2544 :
24-30) ได้สรุปไว้ว่ากิจกรรมการเรียนการสอนตามแนวสื่อสารมีกิจกรรมที่หลากหลาย แต่กิจกรรมหนึ่งที่น่าสนใจ คือการสอนภาษาที่สองของ บิลาช Bilash’s Second Language
Instructional Model หรือ B-SLIM Model. ประกอบไปด้วย
5 ส่วน ดังนี้
1. ขั้นวางแผนและการเตรียม (Planning and Preparation) ขั้นนี้ครูจะเลือกกิจกรรมและเนื้อหาให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของหลักสูตรและความสนใจของผู้เรียน
นอกจากนั้นครูต้องจัดเตรียมสื่อและอุปกรณ์
ที่จำเป็นเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ สื่อต้องน่าสนใจและสอดคล้องกับเนื้อหา และควรเป็นสื่อที่เป็นของจริง
2. ขั้นทำความเข้าใจตัวป้อนหรือข้อความรู้ใหม่ (Comprehensible Input) ขั้นนี้ครูต้องอธิบายความรู้ใหม่ ข้อมูลหรือตัวป้อนใหม่ โดยตั้งอยู่บนฐานความรู้เดิมของผู้เรียน ครูสามารถให้ตัวป้อนเหล่านี้
ในการที่นักเรียนจะเข้าใจหรือเกิดการเรียนรู้ โดยการขยายความ อธิบายเพิ่มเติม
บิลาช ได้จำแนกตัวป้อนด้านความรู้ออกเป็น9 ชนิดดังนี้
2.1 การรับรู้ภาษา ( Language Awareness ) บิลาชและทูลาซิวิคซ์
กล่าวถึงการรับรู้ทางภาษาว่า
การรับรู้ภาษาเกี่ยวข้องกับเรื่องต่อไปนี้
- ทักษะทางภาษา
- ทัศนคติ
- การเรียนรู้และการใช้ภาษา
สิ่งเหล่านี้ผู้สอนต้องบูรณาการเข้าในกิจกรรมการเรียนการสอน
และสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้เรียน
2.2 การออกเสียง ( Pronunciation ) เป็นส่วนสำคัญของการพูด
และเป็นทักษะที่ยากสำหรับผู้เรียนภาษาต่างประเทศก่อนที่ผู้เรียนจะสามารถพูดได้เป็นประโยค
เขาต้องออกเสียงคำได้ก่อน การออกเสียงควรเน้นความคล่องและจังหวะ การขึ้นเสียงสูงต่ำ
ตามบริบทและสถานการณ์
2.3 ศัพท์ ( Vocabulary ) สามารถแยกออกเป็น
2 ชนิด คือ
Active
Vocabulary หมายถึง คำศัพท์ที่ผู้เรียนเข้าใจความหมายออกเสียงได้ถูกต้องและใช้การพูดและเขียนได้
Passive
Vocabulary หมายถึง คำศัพท์ที่ผู้เรียนรู้ความหมายและเข้าใจเมื่อพบคำนั้น
ในรูปประโยคหรือข้อความ แต่ไม่สามารถใช้พูดและเขียนได้ คำศัพท์ในการสอนแต่ละครั้งต้องไม่มากหรือน้อยเกินไป
และต้องสอนจากศัพท์ที่ใกล้ตัว หรือคำศัพท์เพื่อการดำรงชีวิต ( Survival Vocabulary ) หมายถึง
ศัพท์ที่ผู้เรียนใช้สื่อสารในชีวิตประจำวัน
เช่น
ศัพท์เกี่ยวกับ สัตว์ คำถาม คำทักทาย
2.4 ไวยากรณ์ ( Grammar ) การสอนหลักไวยากรณ์ในปัจจุบันมีแนวโน้มจะยึดหลักการสอนตามแนวสื่อสาร
สามารถสอนได้ 2 วิธี
คือ
2.4.1 การสอนแบบอุปนัย คือ การสอนโดยใช้กิจกรรมต่างๆ ขึ้นมาก่อนแล้วครูและนักเรียนช่วยกันสรุปกฎเกณฑ์
2.4.2 การสอนแบบนิรนัย คือ การสอนที่เริ่มจากกฎเกณฑ์
แล้วจึงฝึกการใช้กฎเกณฑ์ โดยใช้กิจกรรมต่างๆ
หรือให้ทำแบบฝึกหัดเพื่อให้สนองวิธีการเรียนรู้ของนักเรียน
ครูต้องให้ตัวอย่างเพียงพอ
และสาธิตการใช้จนผู้เรียนรู้และผู้สอนต้องแม่นกฎเกณฑ์ก่อนที่จะสอนนักเรียน
2.5 สถานการณ์และความคล่องแคล่ว (Situation/Fluency) การเรียนรู้ภาษาที่สอง (Second Language: SL) และภาษาต่างประเทศ (Foreign Language: FL) หมายถึง การพัฒนาความสามารถในการใช้ภาษาได้หลากหลายตามบริบทและสถานการณ์ได้อย่างคล่องแคล่ว
2.6 วัฒนธรรม (Culture) วัฒนธรรมสามารถแบ่งเป็น
2 ส่วน คือ ซีใหญ่ (Big C) หมายถึง
ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์
วรรณคดี
ศิลปะดนตรี
ซีเล็ก (Small C) หมายถึง
ขนบธรรมเนียมประเพณี
ลักษณะนิสัย การแต่งกาย อาหาร
การใช้เวลาว่าง การเรียนภาษาต่างประเทศ
คือการเรียนวัฒนธรรมต่างประเทศ
ซึ่งไม่สามารถแยกภาษาออกจากวัฒนธรรมได้
การสอนวัฒนธรรมครูควรสอนในรูปของกระบวนการพบปะสังสรรค์ มากกว่าที่จะบอกให้รู้ข้อเท็จจริงทางวัฒนธรรม
ครูต้องจัดกิจกรรมเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา
2.7 กลวิธีการเรียนรู้ (Learning Strategy) กลวิธีการเรียนรู้
หมายถึง การกระทำพฤติกรรม
ขั้นตอน
และเทคนิคเฉพาะในการเรียนภาษาที่สองและภาษาต่างประเทศ เช่น การหาผู้ช่วยในการฝึกการสนทนาเพื่อพัฒนาทักษะพูด การใช้เทคนิคปรับปรุงปัญหาในการเรียนภาษาของตัวผู้เรียนเอง ซึ่งมีวิธีการเรียนที่ต่างกัน
กลวิธีการเรียนมีความสำคัญเพราะเป็นเครื่องมือสำหรับการใช้ภาษาในการปฏิสัมพันธ์ การจะเลือกเทคนิคที่มีความคล้ายคลึงกัน และเลือกซ้ำบ่อยครั้งและจะใช้ภาษาในการสื่อสารได้ไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้นครูจำเป็นต้องรู้และเข้าใจถึงกลวิธีที่หลากหลายและประสบผลสำเร็จ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เรียน
เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
2.8 ทัศนคติ (Attitude) เป็นองค์ประกอบที่บ่งบอกถึงความเชื่อว่าผู้เรียนมีทัศนคติที่แตกต่างต่อสิ่งต่อไปนี้ คือ ภาษาเป้าหมาย (Target Language) ผู้พูดภาษาเป้าหมาย (Target Language Speaker) ค่านิยมสังคมทางการเรียนภาษาเป้าหมาย ทัศนคติเหล่านี้มีผลต่อความสำเร็จทางการเรียนภาษาที่สอง การมีทัศนคติด้านบวกต่อภาษาเป้าหมาย
และวัฒนธรรมของภาษานั้นมีความสำคัญต่อผู้เรียน เพราะทัศนคติบวกย่อมเป็นสิ่งเร้าให้ผู้เรียนอยากปฏิสัมพันธ์กับเจ้าของภาษา
นอกจากนั้นทัศนคติด้านบวกยังส่งผลให้ผู้เรียนเลือกใช้กลวิธีการเรียนรู้ที่หลากหลาย อันจะช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาการเรียนรู้ด้านการฟัง อ่าน และเขียนได้อย่างรวดเร็ว จะเห็นได้ว่าทัศนคติสำคัญมากในการเรียนภาษาที่สอง ครูควรจำไว้เสมอว่าการแก้ไขทัศนคตินั้น
ไม่สามารถทำได้ในเวลาอันสั้น
ต้องใช้เวลาและเทคนิคที่หลากหลาย
2.9 ทักษะ
(Skill) หมายถึง ทักษะฟัง
พูด
อ่าน
และเขียน
และยังรวมไปถึงทักษะอื่นๆ เช่น
ทักษะการแก้ปัญหา การค้นคว้าวิจัย การหาความรู้ด้วยตนเอง การเรียนร่วมกับผู้อื่น
2.9.1 ทักษะการฟัง (Listening) ทักษะการฟังถือว่าเป็นทักษะแรกในการสื่อสาร ถ้าฟังไม่รู้เรื่องก็จะไม่สามารถพูดโต้ตอบได้ ดังนั้นครูจำเป็นต้องออกแบบกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะฟัง นูนัน
และแลมป์ แนะนำว่า สิ่งสำคัญที่ครูจำเป็นต้องรู้ก่อนที่จะเตรียมกิจกรรม
คือ
การสอนทักษะฟัง ควรคำนึงถึงสถานการณ์หรือบริบท
กล่าวคือ เลือกเนื้อหา ครูควรออกแบบกิจกรรมฝึกการฟังที่หลากหลายและน่าสนใจ เช่น ครูให้นักเรียนฟังเทปแล้ววาดภาพ เป็นต้น
2.9.2 ทักษะการพูด (Speaking) ในการออกแบบกิจกรรมเพื่อเสริมทักษะพูดครูต้องดูว่ากิจกรรมนั้นต้องเริ่มจากง่ายไปหายาก โดยเริ่มจากกิจกรรมที่ครูควบคุมให้ความช่วยเหลือ
พร้อมทั้งมีรูปแบบและตัวอย่างให้นักเรียน กิจกรรมเหล่านี้ เรียกว่า กิจกรรมภายใต้การควบคุม (Conversation) เช่น
ในช่วง
Intake-Using
It ก่อนที่ครูจะให้นักเรียนฝึกสนทนาครูต้องมีแบบการสนทนา ( Conversation Matrix ) หรือ Dialogue ให้นักเรียนหลังจากนั้นจึงให้นักเรียนทำกิจกรรมที่ยากขึ้น เช่น
บทบาทสมมุติ การเลียนแบบการอภิปราย
ในช่วง Intake-Using It การออกแบบกิจกรรมจากง่ายไปหายากเป็นการลดความวิตกกังวล
( Anxiety
) ของผู้เรียน
2.9.3 ทักษะการอ่าน ( Reading ) ก่อนที่จะลงมือปฏิบัติกิจกรรมที่เกี่ยวกับทักษะการอ่าน ครูต้องจัดกิจกรรมก่อนการอ่าน ( Preceding Activity )
เช่น การพูดคุยหรืออภิปราย ประสบการณ์หรือเรื่องราวที่สัมพันธ์กับเรื่องที่จะอ่าน หลังจากนั้นเป็นการแจ้งจุดประสงค์การอ่านว่า หลังจากการอ่านแล้วนักเรียนต้องได้อะไรบ้าง
เช่น
ตอบคำถาม อภิปรายกับเรื่องที่อ่าน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ครูต้องแนะนำคำศัพท์หรือโครงสร้างใหม่ก่อนที่จะให้นักเรียนทำกิจกรรม กิจกรรมสำหรับพัฒนาทักษะการอ่านจัดได้ทั้งกิจกรรมเดี่ยว คู่ กลุ่มทั้งชั้น ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของเนื้อหาที่อ่าน
2.9.4 ทักษะการเขียน ( Writing ) บิลาชย้ำว่า
ทักษะการเขียนเป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะทำให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการเรียนภาษาที่สอง
การเรียนรู้การเขียนไม่ใช่ที่เกิดได้โดยธรรมชาติ เหมือนการพูดสิ่งที่พูดบางครั้งผู้เรียนไม่สามารถเขียนได้ บิลาชได้ออกแบบการสอนเขียนเรียกว่า แบบ
( Form
) เทคนิค
“แบบ” นี้ บิลาชออกแบบจากง่ายไปหายากเพื่อลดสิ่งที่เป็นอุปสรรคในการเรียนรู้
( Affective Filter ) ซึ่งได้แก่ เจตคติ แรงจูงใจ ความวิตกกังวล เทคนิคการสอนเขียน
“แบบ” ประกอบไปด้วย
4 ส่วน ดังนี้
2.9.4.1 ส่วนเอ ( Quadrant A ) เรียกว่าส่วน “ศัพท์น้อยกฎน้อย” เริ่มจากการฝึกเขียนในสิ่งที่ใช้คำศัพท์น้อยและกฎน้อย เช่น คำขวัญ ใบสมัคร เมนู
คำพังเพย สุภาษิต ข้อความ ปริศนา คำทาย การ์ด
เป็นต้น
2.9.4.2 ส่วนบี ( Quadrant B ) เรียกว่าส่วน “ศัพท์มากกฎน้อย” จำนวนคำศัพท์มีคำศัพท์มากแต่กฎเกณฑ์น้อย เช่น ไดอารี่ คำถาม เพลง ละครสั้น
จดหมายส่วนตัว โปสเตอร์ แบบสอบถาม เป็นต้น
2.9.4.3 ส่วนซี ( Quadrant C ) เรียกว่าส่วน “กฎมากคำศัพท์น้อย” คือการเขียนต้องใช้กฎเกณฑ์มาก แต่ใช้คำศัพท์น้อย
ได้แก่
การเขียนเกี่ยวกับชีวประวัติ
ปกนอกหนังสือ
ปฏิทิน
บัตรเชิญ โฆษณา โปสเตอร์ เกี่ยวกับการท่องเที่ยว โฆษณาทางโทรทัศน์ เป็นต้น
2.9.4.4 ส่วนดี ( Quadrant D ) เรียกว่าส่วน “คำศัพท์มากกฎเกณฑ์มาก” การเขียนในขั้นนี้จะยากขึ้น เพราะสิ่งที่เขียนนั้นประกอบไปด้วยทั้งกฎเกณฑ์และคำศัพท์เป็นจำนวนมาก ได้แก่ นิยายผจญภัย นิทานเปรียบเทียบ ตำนาน กฎการเล่นเกม เขียนบทกวี การอธิบาย หนังสือพิมพ์ประจำห้อง เป็นต้น
3. ขั้นกิจกรรมเพื่อความเข้าใจและฝึกทักษะ (Intake Activity)
ขั้นนี้ หมายถึง ช่วงเวลาที่ผู้เรียนรู้ เนื้อหาหรือตัวป้อน (Input) ผู้สอนพึงระลึกเสมอว่า ผู้เรียนไม่สามารถเข้าใจข้อมูล สาร
หรือตัวป้อนทั้งหมดที่ผู้สอนป้อนในขั้นแรก
ครูจึงจำเป็นต้องจัดกิจกรรมในขั้นนี้เพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสทำสองประการคือ ประการแรก ครูต้องจัดกิจกรรมเพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจตัวป้อน เรียกว่า กิจกรรมเพื่อความเข้าใจ
( Intake
– Getting ) กิจกรรมเพื่อความเข้าใจนี้จะใช้เวลาจนกว่าครูจะแน่ใจว่านักเรียนเข้าใจ Input ครูอาจจะออกแบบ 4-5 กิจกรรม แล้วแต่ความยากง่ายของตัวป้อน กิจกรรมเพื่อความเข้าใจเป็นกิจกรรมที่ง่ายต่อการปฏิบัติมีตัวอย่างแบบแผน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนลดความกังวลในการปฏิบัติ ประการที่สอง หลังจากที่นักเรียนเข้าใจตัวป้อนแล้ว ครูต้องออกแบบกิจกรรมที่ยากและซับซ้อนมากขึ้น เพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาสฝึก เรียกว่า กิจกรรมฝึกใช้ภาษา ( Intake – Using It ) กิจกรรมฝึกใช้ภาษาเป็นกิจกรรมเพื่อการสื่อสารและเป็นธรรมชาติมากกว่ากิจกรรมเพื่อความเข้าใจ
(Getting It Activity)
(Getting It Activity)
4. ขั้นผล (Output) กิจกรรมขั้นนี้
ส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ภาษานอกห้องเรียนทั้งทักษะ ฟัง พูด อ่านและเขียน ลักษณะกิจกรรมขั้นนี้เป็นกิจกรรมสร้างสรรค์และส่วนมากเป็นกิจกรรมเดี่ยว
(Individual Activity)
เช่น โครงงาน การเขียนไดอารี่ เรียงความ เรื่องสั้น เป็นต้น
5. ขั้นประเมินผล (Evaluation) ขั้นการสอนนี้ครูรวบรวมข้อมูลต่างๆจากการสังเกต หรือซักถามผู้เรียนในขั้นต่างๆ เพื่อต้องการทราบปัญหาต่าง
ๆ
และแก้ไขปัญหาในการสอนครั้งต่อไป ขั้นนี้เป็นขั้นการประเมินผลการเรียนของนักเรียน ครูอาจใช้การประเมินทักษะตามสภาพจริง (Authentic Assessment) และการสอบเก็บคะแนนปลายภาคเรียน
วีดีโอการสอนตามแผนการสอนรูปแบบ B-Slim
วีดีโอการสอนตามแผนการสอนรูปแบบ B-Slim
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น