วิธีสอนแบบตรง ( The Direct Method )
วิธีสอนแบบนี้เกิดขึ้นในยุโรประหว่างปี 1850-1900
เป็นการเรียนรู้ภาษาแบบธรรมชาติ (Natural Approach) โดยให้การเรียนภาษาที่สองหรือภาษาเป้าหมายเกิดขึ้นเหมือนการเรียนภาษาแม่
ใช้ทักษะการพูดเป็นวิธีการสอน
ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีการแปลซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงการสอนภาษาจากวิธีการสอนแบบเน้นไวยากรณ์และการแปล
การสอนวิธีนี้เน้นที่การฟังและพูด
โดยเน้นการใช้สื่อของจริง การสอนแบบตรงจะเน้นการใช้ภาษาเป้าหมายเป็นสื่อในการสอนในห้องเรียน โดยเริ่มต้นจากการสอนให้ผู้เรียนฝึกฟังความหมายในประโยค เช่น ประโยคคำถาม ประโยคคำตอบ ผู้สอนจะพยายามให้ผู้เรียนเข้าใจความหมายในประโยคด้วยการเชื่อมโยงคำกับของจริง ผู้เรียนจะเป็นผู้สรุปกฎเกณฑ์ของภาษาด้วยตนเองหลังจากได้รับการฝึกโครงสร้างของภาษาจากการฝึกพูด จากนั้นอาจให้ผู้เรียนทำแบบฝึกหัดกฎไวยากรณ์
โดยเน้นการใช้สื่อของจริง การสอนแบบตรงจะเน้นการใช้ภาษาเป้าหมายเป็นสื่อในการสอนในห้องเรียน โดยเริ่มต้นจากการสอนให้ผู้เรียนฝึกฟังความหมายในประโยค เช่น ประโยคคำถาม ประโยคคำตอบ ผู้สอนจะพยายามให้ผู้เรียนเข้าใจความหมายในประโยคด้วยการเชื่อมโยงคำกับของจริง ผู้เรียนจะเป็นผู้สรุปกฎเกณฑ์ของภาษาด้วยตนเองหลังจากได้รับการฝึกโครงสร้างของภาษาจากการฝึกพูด จากนั้นอาจให้ผู้เรียนทำแบบฝึกหัดกฎไวยากรณ์
ขั้นตอนการสอน
1. ฟังและอ่านบทสนทนา
2. สอนคำศัพท์ โดยใช้ภาษาเป้าหมาย
3. ถามคำถามเพื่อเช็คความเข้าใจ
4. สรุป
5. ทำแบบฝึกหัด : เขียนตามคำบอก, เติมคำในช่องว่าง, บทความ
เทคนิคการสอน
1. การอ่านออกเสียง
2. แบบฝึกหัด ถาม-ตอบ
3. นักเรียนรับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยแก้ไขให้ถูกต้อง
4. ฝึกบทสนทนา
5. แบบฝึกหัด : เติมคำในช่องว่าง
6. เขียนตามคำบอก
7. Mind Map
8. การเขียนหน้า
ข้อดีของวิธีสอนแบบตรง
- ช่วยให้ผู้เรียนคุ้นกับภาษาที่เรียนได้เร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเรียนระดับต้นๆ
ข้อเสียของวิธีสอนแบบตรง
- ผู้สอนจะต้องเป็นเจ้าของภาษา หรือผู้ที่มีความถนัดในภาษาที่สอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น