การสอนทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ
( Teaching English Reading
Skill )
การอ่านภาษาอังกฤษ มี 2 ลักษณะ คือ การอ่านออกเสียง ( Reading
aloud ) และ การอ่านในใจ ( Silent Reading ) การอ่านออกเสียงเป็นการอ่านเพื่อฝึกความถูกต้อง
( Accuracy ) และความคล่องแคล่ว ( Fluency ) ในการออกเสียง
ส่วนการอ่านในใจเป็นการอ่านเพื่อรับรู้และทำความเข้าใจในสิ่งทีอ่านซึ่งเป็นการอ่านอย่างมีจุดมุ่งหมาย
เช่นเดียวกับการฟังต่างกันที่ การฟังใช้การรับรู้จากเสียงที่ได้ยิน ในขณะที่การอ่านจะใช้การรับรู้จากตัวอักษรที่ผ่านสายตา ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนให้ผู้เรียนเกิดความชำนาญและมีความสามารถเพิ่มพูนขึ้นได้ด้วยเทคนิควิธีการโดยเฉพาะ ครูผู้สอนจึงควรมีความรู้และเทคนิคในการสอนทักษะการอ่านให้แก่ผู้เรียนอย่างไรเพื่อให้การอ่านแต่ละลักษณะประสบผลสำเร็จ
เช่นเดียวกับการฟังต่างกันที่ การฟังใช้การรับรู้จากเสียงที่ได้ยิน ในขณะที่การอ่านจะใช้การรับรู้จากตัวอักษรที่ผ่านสายตา ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนให้ผู้เรียนเกิดความชำนาญและมีความสามารถเพิ่มพูนขึ้นได้ด้วยเทคนิควิธีการโดยเฉพาะ ครูผู้สอนจึงควรมีความรู้และเทคนิคในการสอนทักษะการอ่านให้แก่ผู้เรียนอย่างไรเพื่อให้การอ่านแต่ละลักษณะประสบผลสำเร็จ
1. เทคนิควิธีปฏิบัติ
1.1
การอ่านออกเสียง
การฝึกให้ผู้เรียนอ่านออกเสียงได้อย่างถูกต้อง และคล่องแคล่ว
ควรฝึกฝนไปตามลำดับโดยใช้เทคนิควิธีการดังนี้
(1) Basic
Steps of Teaching ( BST ) มีเทคนิคขั้นตอนการฝึกต่อเนื่องกันไปดังนี้
- ครูอ่านข้อความทั้งหมด
1 ครั้ง/นักเรียนฟัง
-ครูอ่านทีละประโยค/นักเรียนทั้งหมดอ่านตาม
-ครูอ่านทีละประโยค/นักเรียนอ่านตามทีละคน
( อาจข้ามขั้นตอนนี้ได้ถ้านักเรียนส่วนใหญ่อ่านได้ดีแล้ว )
-นักเรียนอ่านคนละประโยคให้ต่อเนื่องกันไปจนจบข้อความทั้งหมด
-นักเรียนฝึกอ่านเอง
-สุ่มนักเรียนอ่าน
(2)
Reading for Fluency ( Chain Reading ) คือเทคนิคการ
ฝึกให้นักเรียนอ่านประโยคคนละประโยคอย่างต่อเนื่องกันไปเสมือนคนอ่านคนเดียว
กันโดยครูสุ่มเรียกผู้เรียนจากหมายเลขลูกโซ่เช่นครูเรียก Chain-number One นักเรียนที่มีหมายเลขลงท้ายด้วย
1, 11 ,21, 31, 41, 51
จะเป็นผู้อ่านข้อความคนละประโยคต่อเนื่องกันไปหากสะดุดหรือติดขัดที่ผู้เรียนคนใดถือว่าโซ่ขาดต้องเริ่มต้นที่คนแรกใหม่หรือเปลี่ยนChain-numberใหม่
(3)
Reading and Look up คือเทคนิคการฝึกให้นักเรียนแต่ละ
คนอ่านข้อความโดยใช้วิธีอ่านแล้วจำประโยคแล้วเงยหน้าขึ้นพูดประโยคนั้นๆ
อย่างรวดเร็วคล้ายวิธีอ่านแบบนักข่าว
(4) Speed
Reading คือเทคนิคการฝึกให้นักเรียนแต่ละคนอ่านข้อความโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
การอ่านแบบนี้อาจไม่คำนึงถึงความถูกต้องทุกตัวอักษรแต่ต้องอ่านโดยไม่ข้ามคำเป็นการฝึกธรรมชาติในการอ่านเพื่อความคล่องแคล่ว
( Fluency ) และเป็นการหลีกเลี่ยงการอ่านแบบสะกดทีละคำ
(5)
Reading for Accuracy คือการฝึกอ่านที่มุ่งเน้นความถูกต้องชัดเจนในการออกเสียงทั้งstress
/ intonation/cluster/final soundsให้ตรงตามหลักเกณฑ์ของการออกเสียง (Pronunciation)
โดยอาจนำเทคนิค Speed Reading มาใช้ในการฝึกและเพิ่มความถูกต้องชัดเจนในการออกเสียงสิ่งที่ต้องการจะเป็นผลให้ผู้เรียนมีความสามารถในการอ่านได้อย่างถูกต้อง
( Accuracy ) และคล่องแคล่ว ( Fluency ) ควบคู่กันไป
1.2
การอ่านในใจ
ขั้นตอนการสอนทักษะการอ่านมีลักษณะเช่นเดียวกับขั้นตอนการสอนทักษะการฟังโดยแบ่งเป็น
3 กิจกรรมคือ กิจกรรมนำเข้าสู่การอ่าน ( Pre-Reading ) กิจกรรมระหว่างการอ่านหรือขณะที่สอนอ่าน
( While-Reading ) กิจกรรมหลังการอ่าน ( Post-Reading ) แต่ละกิจกรรมอาจใช้เทคนิคดังนี้
1) กิจกรรมนำเข้าสู่การอ่าน
( Pre-Reading ) การ
ที่ผู้เรียนจะอ่านสารได้อย่างเข้าใจควรต้องมีข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับสารที่
จะได้อ่านโดยครูผู้สอนอาจใช้กิจกรรมนำให้ผู้เรียนได้มีข้อมูลบางส่วนเพื่อ
ช่วยสร้างความเข้าใจในบริบทก่อนเริ่มต้นอ่านสารที่กำหนดให้โดยทั่วไปมี 2
ขั้นตอนคือ
-ขั้น
Personalization เป็นขั้นสนทนาโต้ตอบระหว่างครูกับผู้เรียนหรือระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนเพื่อทบทวนความรู้เดิมและเตรียมรับความรู้ใหม่จากการอ่าน
-ขั้น
Predicting เป็นขั้นที่ให้
ผู้เรียนคาดเดาเกี่ยวกับเรื่องที่จะอ่านโดยอาจใช้รูปภาพแผนภูมิหัวเรื่อง
ฯลฯที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะได้อ่านแล้วนำสนทนาหรืออภิปรายหรือหาคำตอบ
เกี่ยวกับภาพนั้นๆหรืออาจฝึกกิจกรรมที่เกี่ยวกับคำศัพท์เช่นขีดเส้นใต้หรือ
วงกลมล้อมรอบคำศัพท์ในสารที่อ่านหรืออ่านคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่จะได้อ่าน
เพื่อให้ผู้เรียนได้ทราบแนวทางว่าจะได้อ่านสารเกี่ยวกับเรื่องใดเป็นการ
เตรียมตัวล่วงหน้าเกี่ยวกับข้อมูลประกอบการอ่านและค้นหาคำตอบที่จะได้จากการ
อ่านสารนั้นๆหรือทบทวนคำศัพท์จากความรู้เดิมที่มีอยู่
ซึ่งจะปรากฏในสารที่จะได้อ่านโดยอาจใช้วิธีบอกความหมายหรือทำแบบฝึกหัดเติม คำ ฯลฯ
2) กิจกรรมระหว่างการอ่านหรือกิจกรรมขณะที่สอนอ่าน
( While-Reading ) เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติในขณะที่อ่านสารนั้นกิจกรรมนี้มิใช่การทดสอบการอ่านแต่เป็นการ“ฝึกทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ”กิจกรรม
ระหว่างการอ่านนี้ควรหลีกเลี่ยงการจัดกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้
ปฏิบัติทักษะอื่นๆ
เช่นการฟังหรือการเขียนอาจจัดกิจกรรมให้พูดโต้ตอบได้บ้างเล็กน้อยเนื่องจาก
จะเป็นการเบี่ยงเบนทักษะที่ต้องการฝึกไปสู่ทักษะอื่นโดยมิได้เจตนากิจกรรม
ที่จัดให้ในขณะฝึกอ่านควรเป็นประเภทต่อไปนี้
-
Matching คือ
อ่านแล้วจับคู่คำศัพท์กับคำจำกัดความหรือจับคู่ประโยคเนื้อเรื่องกับภาพแผนภูมิ
-
Ordering คือ
อ่านแล้วเรียงภาพแผนภูมิตามเนื้อเรื่องที่อ่านหรือเรียงประโยค ( Sentences
) ตามลำดับเรื่องหรือเรียงเนื้อหาแต่ละตอน ( Paragraph )
-
Completing คือ
อ่านแล้วเติมคำสำนวนประโยคข้อความลงในภาพแผนภูมิตารางฯลฯตามเรื่องที่อ่าน
-
Correcting คือ
อ่านแล้วแก้ไขคำสำนวนประโยคข้อความให้ถูกต้องตามเนื้อเรื่องที่ได้อ่าน
-
Deciding คือ อ่านแล้วเลือกคำตอบที่ถูกต้อง ( Multiple
Choice ) หรือเลือกประโยคถูกผิด ( True/False ) หรือเลือกว่ามีประโยคนั้นๆในเนื้อเรื่องหรือไม่หรือเลือกว่าประโยคนั้นเป็นข้อเท็จจริง
( Fact ) หรือเป็นความคิดเห็น ( Opinion )
-Supplying/Identifying คือ อ่านแล้วหาประโยคหัวข้อเรื่อง ( Topic
Sentence ) หรือสรุปใจความสำคัญ ( Conclusion ) หรือจับใจความสำคัญ
( Main Idea ) หรือตั้งชื่อเรื่อง ( Title ) หรือย่อเรื่อง
( Summary ) หรือหาข้อมูลรายละเอียดจากเรื่อง ( Specific
Information )
3) กิจกรรมหลังการอ่าน
( Post-Reading ) เป็น
กิจกรรมที่มุ่งให้ผู้เรียนได้ฝึกการใช้ภาษาในลักษณะทักษะสัมพันธ์เพิ่มขึ้น
จากการอ่านทั้งการฟังการพูดและการเขียนภายหลังที่ได้ฝึกปฏิบัติกิจกรรม
ระหว่างการอ่านแล้วโดยอาจฝึกการแข่งขันเกี่ยวกับคำศัพท์สำนวนไวยากรณ์จาก
เรื่องที่ได้อ่านเป็นการตรวจสอบทบทวนความรู้ความถูกต้องของคำศัพท์สำนวนโครง
สร้างไวยากรณ์หรือฝึกทักษะการฟังการพูดโดยให้ผู้เรียนร่วมกันตั้งคำถาม
เกี่ยวกับเนื้อเรื่องแล้วช่วยกันหาคำตอบสำหรับผู้เรียนระดับสูงอาจให้พูด
อภิปรายเกี่ยวกับอารมณ์หรือเจตคติของผู้เขียนเรื่องนั้นหรือฝึกทักษะการ
เขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ได้อ่านเป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น