ทฤษฎีพหุปัญญาคิดค้นขึ้นโดย Dr.
Howard Gardner ในปี ค. ศ. 1983 แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา
ผู้ก่อตั้งทฤษฎีพหุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) ให้คำจำกัดความของคำว่า “ปัญญา” ไว้ดังนี้
“ปัญญา คือความสามารถที่จะค้นหาและแก้ปัญหาและสร้างผลผลิตที่มีคุณค่าเป็นที่ยอมรับในสังคม”
ทฤษฎีของเขาอธิบายโต้แย้งว่าความฉลาด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามที่เคยระบุความหมายไว้แต่เดิมซึ่งเรียก “ไอคิว” (IQ)
นั้นไม่เพียงพอที่จะชี้นำไปสู่การแสดงความสามารถของมนุษย์ที่มีมากมายหลากหลาย
ในความคิดของเขาเด็กที่ฝึกคูณเลข(คณิตศาสตร์)
ได้อย่างคล่องแคล่วไม่จำเป็นว่าจะฉลาดกว่าคนที่คิดเลขไม่ค่อยได้
เด็กคนที่สองอาจมีปัญญาชนิดอื่นที่แกร่งกว่าก็ได้
ดังนั้นการเรียนรู้ที่ดีที่สุดอาจเกิดจากวัตถุดิบที่ให้ผ่านวิธีการที่ต่างกัน
เขาอาจจะทำได้ดีในเรื่องที่ไม่ใช่คณิตศาสตร์หรืออาจจะกำลังดูผ่าน
กระบวนการเรียนรู้การคูณที่ระดับพื้นฐานที่ลึกซึ้งกว่าซึ่งซ่อนศักยภาพ
ที่เหนือชั้นกว่าปัญญาทางคณิตศาสตร์ไว้สูงกว่าคนที่แค่จำหลักคิดได้เท่านั้น
การ์ดเนอร์นั้น
มีความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับสติปัญญาที่สำคัญ 2
ประการ คือ
1. เชาวน์ปัญญาของบุคคลมิได้มีเพียงความสามารถทางภาษา
และทางคณิตศาสตร์เท่า นั้น แต่มีอยู่อย่างหลากหลายถึง 8
ประเภทด้วยกัน (ดังจะได้กล่าวต่อไป) แต่การ์ดเนอร์เองก็กล่าวว่าอาจจะมีมากกว่า 8 ประเภท โดยคนแต่ละคนจะมีความสามารถเฉพาะด้านแตกต่างกันไป ซึ่งสอดคล้องกับเรื่องของความแตกต่างระหว่างบุคคล
ความสามารถที่แตกต่างกันออกไปนี้
เมื่อผสมผสานออกมาแล้วจะก่อให้เกิดเอกลักษณ์เฉพาะตัวบุคคล
2. เชาวน์ปัญญาไม่ใช่สิ่งที่มั่นคงถาวรตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย
หากแต่สามารถเปลี่ยน แปลงได้ตามสภาพแวดล้อม และการส่งเสริมที่เหมาะสม
ลักษณะสำคัญของทฤษฎีพหุปัญญา
1. มนุษย์มีความสามารถทางปัญญาแบ่งออกได้อย่างน้อย
8 ด้าน
2. จากการศึกษาเรื่องสมองปัญญามีลักษณะเฉพาะด้าน
3. คนทุกคนมีสติปัญญาทั้ง
8 ด้านที่อาจจะมากน้อยแตกต่างกันไป
บางคนอาจจะสูงทุกด้านบางคนอาจจะสูงเพียงด้าน หรือสองด้าน ส่วนด้านอื่น ๆ ปานกลาง
4. ทุกคนสามารถพัฒนาปัญญาแต่ละด้านให้สูงขึ้นถึงระดับใช้การได้ถ้ามีการฝึกฝนที่ดี
มีการให้กำลังใจที่เหมาะสม ในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้
5. ปัญญาด้านต่าง ๆ
สามารถทำงานร่วมกันได้ เช่นในการดำรงชีวิตประจำวันเราอาจต้องใช้ปัญญาในด้านภาษาในการพูด
อ่าน เขียน ปัญญาด้านคิดคำนวณ ในการคิดเงินทอง ปัญญาด้านมนุษย์
สัมพันธ์ในการพบปะเข้าสังคมทำให้ตนเองมีความสุขด้วยการใช้ปัญญาด้านการเข้าใจตนเอง
6. ปัญญาแต่ละด้านจะมีความสามารถในหลาย
ๆ ทาง ยกตัวอย่างเช่นคนที่อ่านหนังสือไม่ออกก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีปัญญาทางภาษา
แต่เขาอาจจะเป็นคนเล่าเรื่องที่เก่งหรือพูดได้น่าฟัง
ความสามารถทางปัญญาของมนุษย์ตามทฤษฎีพหุปัญญา
แบ่งออกเป็น 8
ด้าน ได้แก่
2.1 สติปัญญาด้านภาษา (Linguistic Intelligence)
สติปัญญาด้านภาษา
เป็นความสามารถในการเลือกใช้ถ้อยคำภาษาที่แสดงออกในการสื่อความหมาย โดยมีสมองส่วน Brocals
Area ซึ่งเป็นสมองส่วนหน้า
ควบคุมการเรียบเรียงประโยคออกมาเป็นประโยคที่สื่อความตามหลักภาษา
หากสมองส่วนนี้อาจจะทำให้สื่อสารกับผู้อื่นไม่รู้เรื่อง แต่ยังฟังหรืออ่านสิ่งต่างๆ
แล้วเข้าใจได้อยู่
ลักษณะสำคัญของบุคคลที่มีสติปัญญาด้านภาษา
- เป็นบุคคลที่เห็นคุณค่าของหนังสือ
ชอบอ่านหนังสือแล้วพูดหรือเล่าในสิ่งที่อ่าน
- มีความจำดีในชื่อต่างๆ
สถานที่ วัน เดือน ปี หรือสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่พบ
- สามารถนึกคิดถ้อยคำต่างๆ
ในใจได้ก่อนที่จะพูดหรืออ่านสิ่งเหล่านั้น
- สื่อสารกับผู้อื่นโดยใช้ภาษาได้เป็นอย่างดี
- สนุกสนานกับการเล่นเกมที่เกี่ยวกับการใช้คำ
(อักษรไขว้ ต่อคำ) การพูดคำสัมผัส (การแต่งคำประพันธ์/กลอนสด) การเล่นคำผวน
- เป็นผู้มีความสามารถด้านการเขียน
สะกดคำได้อย่างถูกต้อง ใช้คำศัพท์ต่างๆ ได้อย่างดี
- มีความสามารถในการเรียนรู้ภาษาอื่นได้อย่างดี
- มีความพยายามที่จะพัฒนาการใช้ภาษาของตนเอง
จะสามารถสร้างคำทั้งในการพูดและการเขียนในรูปแบบใหม่ได้อย่างสม่ำเสมอ
- เป็นคนรักการอ่าน
การเขียน การเล่าเรื่อง แต่งคำประพันธ์ โต้วาที เล่าขำขัน
ร่วมอภิปรายแสดงความคิดเห็นต่างๆ
- ชอบเรียนวิชาภาษาไทย
ภาษาต่างประเทศ ประวัติศาสตร์ มากกว่าคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์
- มีความสนใจในอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษา
เช่น กวี นักพูด นักเขียน นักกฎหมาย เป็นต้น
- มีทักษะทางภาษาที่มีประสิทธิภาพทั้งการฟัง
พูด อ่าน และเขียน
2.2 สติปัญญาในการใช้เหตุผลเชิงตรรกะและคณิตศาสตร์ (Logical–Mathematical
Intelligence)
สติปัญญาในด้านการใช้เหตุผลเชิงตรรกะและคณิตศาสตร์
และด้านภาษาที่กล่าวไปข้างต้น มักจะถือว่าเป็นสติปัญญาขั้นทั่วไปของมนุษย์
มักจะวัดผ่านแบบทดสอบต่างๆ เชาวน์ปัญญาในด้านนี้มีสมองส่วนควบคุมกลไกในการแก้ปัญหาในการใช้เหตุผลเชิงตรรกะ
และการคำนวณทางคณิตศาสตร์ การ์ดเนอร์กล่าวถึงสติปัญญาในด้านนี้ว่า มีองค์ประกอบ 3 ด้าน คือ
1. ด้านการคิดคำนวณทางคณิตศาสตร์
(mathematics)
2. ด้านวิทยาศาสตร์ (Science)
3. ด้านการใช้เหตุผลเชิงตรรกะ
(Logic)
ลักษณะสำคัญของบุคคลที่มีสติปัญญาในการใช้เหตุผลเชิงตรรกะและคณิตศาสตร์
- เข้าใจสิ่งต่างๆ
และบทบาทของสิ่งเหล่านั้นตามสภาพที่เป็นอยู่ในสิ่งแวดล้อม
- เข้าใจในเรื่องจำนวน
ตัวเลข และมีทักษะในการคิดคำนวณ เช่น การประมาณค่า การทำนายค่าทางสถิติ
การแสดงผลข้อมูลโดยกราฟแบบต่างๆ
รวมทั้งรู้จักใช้เทคนิคในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับคณิตศาสตร์
- มีทักษะในการแก้ปัญหาโดยพิจารณาเหตุและผล
(Critical Thinking)
- เข้าใจรูปแบบและความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ
โดยรู้จักใช้สัญลักษณ์ที่เป็นรูปธรรมเพื่อแสดงในสิ่งที่เป็นนามธรรม
สามารถอธิบายเรื่องมโนมติในเรื่องต่างๆ ได้
- มีกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
(Scientific Method) รู้จักรวบรวมข้อมูล ตั้งสมมติฐาน
ตรวจสอบสมมติฐาน และลงข้อสรุปเพื่อแก้ปัญหาที่พบได้
- ชอบศึกษาหรือเรียนในวิชาที่ซับซ้อน
เช่น แคลคูลัส วิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
- ชอบในอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณ
การใช้เหตุผล และวิทยาศาสตร์ เช่น นักบัญชี นักวิทยาศาสตร์ นักคอมพิวเตอร์
นักกฎหมาย และวิศวกร
- มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในเชิงวิทยาศาสตร์
ชอบศึกษากลไกการทำงานของอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ
2.3
สติปัญญาด้านการเคลื่อนไหวร่างกายและกล้ามเนื้อ (Bodily –
Kinesthetic Intelligence)
สติปัญญาในด้านนี้เป็นความสามารถในการใช้ส่วนของร่างกายเพื่อการแสดงออก
สร้าง สรรค์ หรือสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างคล่องแคล่ว ผู้ที่มีเชาวน์ปัญญาในด้านนี้จะมีสมองส่วนที่เรียกว่า
Cortex โดยสมองส่วนหนึ่งจะเป็นหลักในการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย
อีกด้านหนึ่งไขว้กัน (ขวาควบคุมซ้าย ซ้ายควบคุมขวา)
คนที่ถนัดขวาจะมีการพัฒนาที่ชัดเจนมาตั้งแต่เด็ก
ลักษณะสำคัญของบุคคลที่มีสติปัญญาด้านการเคลื่อนไหวร่างกายและกล้ามเนื้อ
- ชอบสำรวจสภาพแวดล้อม
วัตถุต่างๆ โดยการสัมผัส จับต้อง เคลื่อนไหวในสิ่งที่ต้องการเรียนรู้
- เรียนรู้ได้ดีเมื่อได้เข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรง
จดจำได้ดีในสิ่งที่ลงมือปฏิบัติมากกว่าฟัง หรือสังเกตเพียงอย่างเดียว
- ชอบเรียนในสิ่งที่เป็นรูปธรรม
เช่น ทัศนศึกษา แบบจำลองสิ่งต่างๆ เล่นบทบาทสมมติ เกม การออกกำลังกาย
- แสดงทักษะในการทำงานที่มีการเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว
มีความ สามารถด้านกีฬา เป็นนักกีฬา
- รับรู้และตอบรับกับสภาพแวดล้อมต่างๆ
โดยระบบทางกายภาพ
- มีทักษะทางการแสดง กีฬา
เต้นรำ เย็บปักถักร้อย แกะสลัก ดนตรี เช่น keyboard
- ประดิษฐ์คิดค้นวิธีใหม่ๆ
ที่ใช้ทักษะทางร่างกาย เช่น ออกแบบท่าทาง การเต้นรำ คิดกีฬาใหม่ๆ
หรือกิจกรรมทางกายภาพด้านอื่นๆ
- มีลักษณะที่เป็นคนที่ชอบเคลื่อนไหว
คล่องแคล่ว และสนุกกับการอยู่กลางแจ้งมากกว่าในร่ม ไม่ชอบนั่งนิ่งเป็นเวลานานๆ
- ชอบทำงานต่างๆ
ที่ใช้มือ ชอบสิ่งของที่จะนำมาสร้างหรือประดิษฐ์เป็นสิ่งต่างๆ ได้
- ชอบแยกแยะสิ่งต่างๆ
เพื่อสำรวจส่วนประกอบต่างๆ และสามารถประกอบเข้ารูปเหมือนเดิม
- สนใจในวิชาชีพที่เกี่ยวกับการกีฬา
เต้นรำ ศัลยแพทย์ ช่างก่อสร้าง นักประดิษฐ์ เป็นต้น
2.4 สติปัญญาด้านการมองเห็นและมิติสัมพันธ์ (Visual/Spatial
Intelligence)
เชาวน์ปัญญาด้านนี้ถูกควบคุมโดยสมองซีกขวา
และแสดงออกทางความสามารถด้านศิลปะ การวาดภาพ การสร้างภาพ การคิดเป็นภาพ
การเห็นรายละเอียด การใช้สี การสร้างสรรค์งานต่าง ๆ
และมักจะเป็นผู้มองเห็นวิธีแก้ปัญหาในมโนภาพ
เชาวน์ปัญญาในด้านนี้เป็นเชาวน์ปัญญาที่มนุษย์มีมาแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
เพราะมนุษย์วาดภาพเพื่อสื่อสารความหมายมาตั้งแต่สมัยนั้น
ลักษณะสำคัญของบุคคลที่มีสติปัญญาด้านการมองเห็นและมิติสัมพันธ์
- ชอบมองและสังเกตรายละเอียดของสิ่งต่างๆ
ที่พบเห็นได้ดี ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง ลักษณะ สี
- บอกตำแหน่งและทิศทางของวัตถุสิ่งของต่างๆ
ได้อย่างรวดเร็ว คล่องแคล่ว และถูกต้อง
- สามารถอธิบายรายละเอียดของภาพหรือแผนผังต่างๆ
ได้เป็นอย่างดี
- ชอบการเขียนภาพ วาดภาพ
ประดิษฐ์วัตถุสิ่งของ ทั้งงานปั้นและงานฝีมือต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานทัศนศิลป์
- ชอบเล่นเกมที่เกี่ยวกับการสร้างภาพหรือจินตนาการในใจ
เช่น หมากรุก หมากฮอส อักษรไขว้ ภาพต่อ (Jigsaw) เป็นต้น
- เขียนแผนผังแสดงตำแหน่งที่ตั้งของสิ่งต่างๆ
ได้อย่างถูกต้อง
- มีความสนใจในการประกอบอาชีพเกี่ยวกับศิลปะ
เช่น นักถ่ายรูป วิศวกร นักออกแบบ จิตรกร รวมทั้งนักบิน สถาปนิก
- สร้างสรรค์ผลงานแปลกใหม่เกี่ยวกับงานศิลป์เสมอ
- มีมุมมองในสิ่งต่างๆ
ที่แตกต่างไปจากคนอื่น (New perspective) รวมทั้งมองเห็นในสิ่งที่ซ่อนหรือแฝงอยู่โดยที่คนอื่นอาจไม่เห็นหรือไม่เข้าใจ
เช่น การมองภาพศิลปะ
2.5 สติปัญญาด้านดนตรี (Musical Intelligence)
เชาวน์ปัญญาด้านนี้ถูกควบคุมโดยสมองซีกขวาตอนบน
บุคคลที่มีสติปัญญาทางด้านนี้ จะแสดงออกทางความสามารถในด้านจังหวะ การร้องเพลง
การฟังเพลงและดนตรี การแต่งเพลง การเต้น
และมีความไวต่อการรับรู้เสียงและจังหวะต่างๆ
โดยที่บางครั้งอาจดูเหมือนไม่มีความสามารถ เช่น เล่นเปียโนได้
แต่ไม่สามารถเล่นเครื่องดนตรีอื่นๆ ได้ หรือ บางครั้งในการเรียนทฤษฎีดนตรี
อาจจะสอบตก แต่ร้องเพลงได้ไพเราะ เป็นต้น
ลักษณะสำคัญของบุคคลที่มีสติปัญญาด้านดนตรี
- เป็นผู้มีความสุข
สนุกสนานกับการฟังเพลงจากวิทยุ เทป ซีดี
- ชอบเคาะมือ เคาะเท้า
เป็นจังหวะหรือ ผิวปาก ฮัมเพลง ในขณะทำงาน
- รู้จักท่วงทำนอง จังหวะ
ลีลาของเพลงต่างๆ มากมาย
- ร้องเพลงได้ไพเราะหรือเล่นดนตรีต่างๆ
เก่ง
- มีท่วงที จังหวะ และลีลาในการพูดหรือเคลื่อนไหว
ที่แสดงออกทานดนตรีได้อย่างเด่นชัด
- ชอบร้องเพลงคลอตามขณะเปิดเพลง
ชอบการแสดงดนตรี (Concert) ชอบเล่นเครื่องดนตรีประเภทต่างๆ
- ชอบสะสมข้อมูลต่างๆ
เกี่ยวกับดนตรี เช่น เทปเพลง เนื้อเพลง ซีดี วีดีโอเพลง เครื่องดนตรีต่างๆ เป็นต้น
- สนใจฟังเสียงดนตรี
หรือเสียงอื่นๆ รอบๆ ตัว และพยายามหาโอกาสในการฟัง สามารถคิดประกอบกับเสียงดนตรี
หรือเสียงธรรมชาติอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว
- สามารถฟังและตอบรับกับเสียงต่างๆ
รอบตัว แล้วเรียบเรียงเสียงประสานให้อยู่ในรูปแบบที่มีความหมายได้
- สามารถพัฒนาตนเองให้มีความสามารถในการร้องเพลงหรือเล่นดนตรีได้ดี
ทั้งการร้องเดี่ยว หรือกับคนอื่นๆ ได้
- มีความสนใจในอาชีพที่เกี่ยวกับดนตรี
เช่น นักร้อง นักดนตรี ครูสอนดนตรี คนทำเครื่องดนตรี นักแต่งเพลง ผู้อำนวยเพลง
เป็นต้น
2.6
สติปัญญาด้านการเข้ากับผู้อื่น (Interpersonal Intelligence)
เชาว์ปัญญาด้านนี้ถูกควบคุมโดยสมองส่วนหน้า
หากสมองด้านนี้ถูกทำลายจะทำให้เกิดปัญหาในการเข้าสังคม
ความสามารถที่แสดงออกทางด้านนี้ เห็นได้จากการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
การทำงานกับผู้อื่น การเข้าใจและเคารพผู้อื่น การแก้ปัญหาความขัดแย้ง
และการจัดระเบียบ ผู้มีความสามารถทางด้านนี้
มักเป็นผู้ที่มีความไวต่อความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น
ลักษณะสำคัญของบุคคลที่มีสติปัญญาด้านการเข้ากับผู้อื่น
- มีความสัมพันธ์กับครอบครัวและชอบปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
- สร้างและรักษาความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่นในสังคม
- พยายามใช้วิธีที่หลากหลายเพื่อเข้าไปมีส่วนสัมพันธ์กับผู้อื่น
- รับรู้และเข้าใจความรู้สึก
ความคิด แรงจูงใจ พฤติกรรม และวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของผู้อื่น
- เข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานกับผู้อื่น
และสามารถรับบทบาทหลายอย่างที่เหมาะสมตั้งแต่ผู้นำจนถึงผู้ตามกลุ่ม
- มีความสามารถโน้มน้าว
ชักจูง ในการแสดงความคิดเห็น หรือการกระทำของผู้อื่น
- มีความเข้าใจและสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งด้วยวาจาและไม่ใช้วาจา
- ปรับพฤติกรรมเข้ากับสภาพแวดล้อมหรือกลุ่มคนที่แตกต่าง
- รับรู้ความคิดที่หลากหลายในเรื่องที่เกี่ยวกับสังคม
หรือการเมืองต่างๆ ได้
- สนใจพัฒนากระบวนการหรือรูปแบบต่างๆ
ทางสังคม
- ชอบการปรึกษาหารือในปัญหาต่างๆ
กับผู้อื่น มากกว่าที่จะแก้ปัญหาด้วยตนเอง
- มีเพื่อนมาก
โดยเฉพาะที่สนิทสนมมากๆ อย่างน้อยที่สุด 3 คน
- ชอบคุย
สนุกกับการได้เข้าสังคม พบปะผู้คน
- ชอบการเล่นเกม กีฬา
ที่มีลักษณะการเล่นเป็นกลุ่ม
- อาสาสมัครที่จะร่วมทำงานกับผู้อื่นในเรื่องใหม่ๆ
เสมอ
- แสดงความสามารถในการเป็นผู้นำ
หาเพื่อนๆ ร่วมปฏิบัติงานอยู่ตลอดเวลา
- เป็นสมาชิกของชมรม
องค์กร หรือคณะกรรมการต่างๆ ที่มีความคล่องแคล่วและกระตือรือร้น
- มักเป็นผู้ที่มีผู้ขอคำปรึกษาหรือขอคำแนะนำต่างๆ
- แสดงความสนใจในอาชีพที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์กับผู้อื่น
เช่น นักการ เมือง ผู้นำทางศาสนา ครู นักแนะแนว นักประชาสัมพันธ์ พิธีกร
นักนิเทศศาสตร์ นักสังคมสงเคราะห์ เป็นต้น
2.7 สติปัญญาด้านการรู้จักและเข้าใจตนเอง
(Intrapersonal Intelligence)
บุคคลที่สามารถในการเข้าใจตนเอง
มักเป็นคนที่ชอบคิด พิจารณาไตร่ตรอง มองตนเอง
และทำความเข้าใจถึงความรู้สึกและพฤติกรรมของตนเอง
มักเป็นคนที่มั่นคงในความคิดความเชื่อต่าง ๆ
จะทำอะไรมักต้องการเวลาในการคิดไตร่ตรอง และชอบที่จะคิดคนเดียว ชอบความเงียบสงบ
สติปัญญาทางด้านนี้ มักเกิดร่วมกับสติปัญญาด้านอื่น
มีลักษณะเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างเชาว์ปัญญา อย่างน้อย 2
ด้านขึ้นไป ผู้ที่ไม่มีสติปัญญาในด้านนี้ มักจะมีบุคลิกเฉื่อยชา เชื่องช้า
ไม่ยินดียินร้ายและเศร้าซึม
ลักษณะสำคัญของบุคคลที่มีสติปัญญาด้านการรู้จักและเข้าใจตนเอง
- มีการแสดงออกทางอารมณ์อย่างเหมาะสมและมีขอบเขต
- แสดงความคิดเห็นและความรู้สึกในเรื่องต่างๆ
อย่างพอเหมาะ
- มีเป้าหมายในการดำเนินชีวิตที่แน่นอนและในรูปแบบที่ถูกต้อง
- ทำงานได้ด้วยตนเอง
- มีพัฒนาการในด้านการเรียนรู้และบุคลิกภาพ
- สามารถทำความเข้าใจในสิ่งต่างๆ
ที่เป็นประสบการณ์ของชีวิตเพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น
- เข้าใจถึงความสำคัญของตัวเองที่มีอิทธิพลหรือมีบทบาทและความสัมพันธ์ต่อบุคคลอื่น
2.8 สติปัญญาด้านการเป็นนักธรรมชาติวิทยา
(Nationalism Intelligence)
เชาวน์ปัญญาในด้านนี้
การ์ดเนอร์ได้เพิ่มหลังจากที่ตีพิมพ์หนังสือ “Frames of Mind : The Theory
of Multiple Intelligences” แล้ว
แต่ก็ได้กล่าวถึงลักษณะของเชาวน์ปัญญาเหล่านี้ในภายหลังว่า
เชาวน์ปัญญาด้านนี้เป็นความสามารถในการสังเกตสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ การจำแนกแยกแยะ
จัดหมวดหมู่ สิ่งต่าง ๆ รอบตัว บุคคลที่มีความสามารถทางนี้ มักเป็นผู้รักธรรมชาติ
เข้าใจธรรมชาติ ตระหนักในความสำคัญของสิ่งแวดล้อมรอบตัว และมักจะชอบและสนใจสัตว์
ชอบเลี้ยงสัตว์เลี้ยง เป็นต้น
ลักษณะสำคัญของบุคคลที่มีสติปัญญาด้านการรู้จักและเข้าใจตนเอง
-
เป็นคนชอบสัตว์ ชอบเลี้ยงสัตว์
-
สนใจสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติรอบตัว
-
สนใจความเป็นไปในสังคมรอบตัว ชอบศึกษาเรื่องราวของมนุษย์
การดำรงชีวิตจิตวิทยา
-
คิดถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อสิ่งแวดล้อม
-
เข้าใจธรรมชาติของพืชและสัตว์ได้เป็นอย่างดี
รู้จักชื่อต้นไม้ ดอกไม้หลายชนิด
-
ไวต่อความรู้สึก การเปลี่ยนแปลงของดิน ฟ้า อากาศ
-
สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี
-
มีความรู้เรื่องดวงดาว จักรวาล สนใจวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
การประยุกต์ทฤษฎีการสอนแบบพหุปัญญากับการสอนในชั้นเรียน
1. เนื่องจากผู้เรียนแต่ละคนมีเชาวน์ปัญญาแต่ละด้านไม่เหมือนกัน
ดังนั้นในการจัดการเรียนการสอนควรมีกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย
ที่สามารถส่งเสริมเชาวน์ปัญญาหลายๆ ด้าน
มิใช่มุ่งพัฒนาแต่เพียงเชาวน์ปัญญาด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น ดังเช่นในอดีต
เรามักจะมีการเน้นการพัฒนาด้านภาษาและด้านคณิตศาสตร์หรือด้านการใช้เหตุผลเชิงตรรกะ
อันเป็นการพัฒนาสมองซีกซ้ายเป็นหลัก
ทำให้ผู้เรียนไม่มีโอกาสพัฒนาเชาวน์ปัญญาด้านอื่น ๆ เท่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ผู้เรียนที่มีเชาวน์ปัญญาด้านอื่นสูง
จะขาดโอกาสที่จะเรียนรู้และพัฒนาในด้านที่ตนมีความสามารถหรือถนัดเป็นพิเศษ
การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการของสติปัญญาหลาย ๆ ด้าน
จะช่วยให้ผู้เรียนทุกคนมีโอกาสที่จะพัฒนาตนเองอย่างรอบด้าน
พร้อมทั้งช่วยส่งเสริมอัจฉริยภาพหรือความสามารถเฉพาะตนของผู้เรียนไปในตัว
2. เนื่องจากผู้เรียนมีระดับพัฒนาการในเชาวน์ปัญญาแต่ละด้านไม่เท่ากัน
ดังนั้น
จึงจำเป็นที่จะต้องจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับขั้นพัฒนาการในแต่ละด้านของผู้เรียน
ตัว อย่างเช่น
เด็กที่มีเชาวน์ปัญญาด้านดนตรีสูงจะพัฒนาปัญญาด้านดนตรีของตนไปอย่างรวดเร็ว
ต่างจากเด็กคนอื่น ๆ ดังนั้น การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เด็กที่มีขั้นพัฒนาการด้านใดด้านหนึ่งสูง
ควรต้องแตกต่างไปจากเด็กที่มีขั้นพัฒนาการในด้านนั้นต่ำกว่า
3. เนื่องจากผู้เรียนแต่ละคนมีเชาวน์ปัญญาแต่ละด้านไม่เหมือนกัน
การผสมผสานของความสามารถด้านต่าง ๆ ที่มีอยู่ไม่เท่ากันนี้ ทำให้เกิดเป็นเอกลักษณ์
(Uniqueness) หรือลักษณะเฉพาะของแต่ละคนซึ่งไม่เหมือนกัน
หรืออีกนัยหนึ่ง เอกลักษณ์ของแต่ละบุคคลทำให้แต่ละคนแตกต่างกัน
และความแตกต่างที่หลากหลาย (Diversity) นี้
สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม ดังนั้น กระบวนการคิดที่ว่าคนนี้โง่
หรือเก่งกว่าคนนั้นคนนี้จึงควรจะเปลี่ยนไป
การสอนควรเน้นการส่งเสริมความเป็นเอกลักษณ์ของผู้เรียน
ครูควรสอนโดยเน้นให้ผู้เรียนค้นหาเอกลักษณ์ของตน ภาคภูมิใจในเอกลักษณ์ของตนเอง
และเคารพในเอกลักษณ์ของผู้อื่น
รวมทั้งเห็นคุณค่าและเรียนรู้ที่จะใช้ความแตกต่างของแต่ละบุคคลให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
เช่นนี้ ผู้เรียนก็จะเรียนรู้อย่างมีความสุข มีทัศนคติที่ดีต่อตนเอง
เห็นคุณค่าในตนเอง ในขณะเดียวกันก็มีความเคารพในผู้อื่น
และอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลกัน
4. ระบบการวัดและประเมินผลการเรียนรู้
ควรจะต้องมีการปรับเปลี่ยนไปจากแนวคิดเดิมที่ใช้การทดสอบเพื่อวัดความสามารถทางเชาวน์ปัญญาเพียงด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น
และที่สำคัญคือ ไม่สัมพันธ์กับบริบทที่แท้จริงที่ใช้ความสามารถนั้น ๆ ตามปกติ
วิธีการประเมินผลการเรียนการสอนที่ดี ควรมีการประเมินหลาย ๆ ด้าน
และในแต่ละด้านควรเป็นการประเมินในสภาพการณ์ของปัญหาที่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยอุปกรณ์ที่สัมพันธ์กับเชาวน์ปัญญาด้านนั้น
ๆ การประเมินจะต้องครอบคลุมความสามารถในการแก้ปัญหา
หรือการสร้างสรรค์ผลงานโดยใช้อุปกรณ์ที่สัมพันธ์กับเชาวน์ปัญญาด้านนั้น
อีกวิธีหนึ่งคือการให้เรียนอยู่ในสภาพการณ์ที่ซับซ้อนซึ่งต้องใช้สติปัญญาหลายด้าน
หรือการให้อุปกรณ์ซึ่งสัมพันธ์กับเชาวน์ปัญญาหลาย ๆ ด้าน และสังเกตดูว่า
ผู้เรียนเลือกใช้เชาวน์ปัญญาด้านใด
หรือศึกษาและใช้อุปกรณ์ซึ่งสัมพันธ์กับเชาวน์ปัญญาด้านใด มากเพียงไร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น